Thursday, October 2, 2014

เสี่ยวเอ้อ ปิงไขว้!!!!

นํ้าแข็งกับคนไทยนี้เป็นของคู่กัน ขาดกันไม่ได้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะไปกินข้าวที่ไหน ทุกๆร้านจะต้องมีนํ้าแข็งคอยเสิร์ฟ แม้แต่ร้านอาหารข้างถนนทุกร้าน ยังต้องลงทุนซื้อตู้เก็บนํ้าแข็ง! ทำให้เห็นว่าประชาชนไทยโปรดปราณของเย็นขนาดไหน ความรู้สึกเวลานํ้าเย็นเย็นไปถึงทรวงนี้มันฟินจริงๆ แม้กระทั่งเพื่อนๆคนไทยผมหลายคนที่มาเรียนหรือเที่ยวเมืองจีน ภาษาจีนคำแรกที่พวกเค้าต้องรู้ให้ได้ก็คือ“ปิงไขว้”หรือนํ้าแข็งนั่นเอง -_-" แล้วก็จะสั่งมาทุกครั้งที่ทานข้าว ถึงแม้ว่ามันจะเป็นฤดูหนาวที่เซี่ยงไฮ้ก็ตาม...แล้วทำไมแพทย์จีนไม่แนะนำให้ทานนํ้าแข็งหรือพวกของเย็น? มันแย่ขนาดนั้นเชียวเหรอ? ถั่วต้มคับ มันแย่ มันเป็นยาพิษช้าๆ มันจะค่อยๆกัดกล่อนสุขภาพ ความ“เย็น”มันทำอะไรได้? ในตำราแพทย์จีนกล่าวไว้ว่า “寒主凝滯而主痛;寒主收引。”ความเย็นทำให้หดตัว แข็งตัว ทำให้เกิดความปวดได้ โดยธรรมชาติแล้วอุณภูมิยิ่งตํ่า นํ้าก็จะจับตัวกันยิ่งแน่น หากคุณสังเกตุในธรรมชาติที่เย็นๆหนาว ก็จะไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เท่าไหร่ สัตว์ยังต้องจำศีลเมื่อถึงหน้าหนาว เวลาเราทานของเย็นก็เหมือนกับกำลังเอาความเย็นเข้าร่างกายเราเอง เก็บสะสมไปเรื่อยๆ พอความเย็นยิ่งเยอะ ก็จะทำให้เลือดและลมปราณในร่างกายเราเดินช้าลง จนวันหนึ่งมันก็จะทำให้เลือดลมไม่เดิน เลือดคั่ง ทำให้คนเป็นโรคได้ เช่น ปวดท้องบ้าง ปวดข้อ ปวดเข่า สุภาพสตรีก็อาจจะมีอาการจำพวก ประจำเดินมาไม่ปกติ มาช้าบ้าง มาน้อยบ้าง มาสั้นบาง ปวดท้องเมนส์ สีประจำเดือนค่องข้างดำ อาจจะมีลิ่มเลือด บนใบหน้าอาจจะมี กระหรือ ฝ้าเกิดขึ้น เมื่อถึงสภาวะเลือดคั่งแล้ว พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆก็จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคสมองและหัวใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงโรคทางพันธุกรรมในครอบครัวเช่น โรคความดันสูง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ก็จะยิ่งเสี่ยงต่อการเป็นโรคพวกนี้มากขึ้น ความเย็นไม่ได้เข้าร่างกายผ่านทางปากเป็นวิธีเดียวคับ มันยังเข้าร่างกายคนเราได้จากการเป่าแอร์ได้ด้วยคับ หากเป่าแอร์โดยตรงนานๆก็อาจจะทำให้ปวดหัว ปวดไหล่ ปวดบ่าได้เหมือนกัน เคยอ่านเจอหลายเคสเกี่ยวกับคนที่เป็นชาวเล หรือทำงานในโรงนํ้าแข็ง ส่วนมากคนพวกนี้จะมีโรคปวดข้อปวดตัวต่างๆเป็นโรคประจำตัว เพราะว่าสถานที่ที่เค้าอยู่มันมีความเย็นตลอดเวลานั่นเอง ขอเตือนอีกข้อคับ หลังสระผมเสร็จควรจะเป่าผมให้แห้งด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้หัวเปียกอยู่อย่างนั้น มิฉะนั้นคุณอาจจะเป็นโรคปวดหัวได้ ด้วยเหตุดังนี้ แพทย์จีนจึงแนะนําว่าไม่ควรจะทานของเย็น เมืองไทยเป็นประเทศที่ร้อนแทบจะตลอดทั้งปี ก็เข้าใจคับว่าพอทานพวกนํ้าเย็น ไอศครีมต่างๆแล้วมันรู้สึกสดชื่น มันรู้สึกดี แต่เพื่อสุขภาพที่ดีในวันหลัง ควรจะลดของเย็นพวกนี้ให้น้อยลง ค่อยๆหักห้ามไม่ทานบ้าง อย่างเช่นเมื่อก่อนต้องกินนํ้าเย็นทุกครั้ง เปลี่ยนเป็นวันหนึ่งกินหนึ่งแก้ว สองวันกินหนึ่งแก้ว กินตอนอยากกินมากๆจริงๆก็ได้ ค่อยๆปรับเปลี่ยนคับ  

Wednesday, October 1, 2014

วิธีต้มยาจีน

ตั้งแต่ในอดีตยาจีนก็มีหลายรูปแบบ เช่น แบบเป็นผง ลูกกลอน หรือใช้ภายนอก แต่ที่ใช้มากที่สุดก็คือการนํายาจีนมาต้มและดื่ม หลายๆคนก็จะสงสัยว่า ได้ยาจีนมาเป็นห่อๆ มีแต่อะไรก็ไม่รู้ เป็นหญ้าๆฟางๆ หน้าตาดูไม่ค่อยดี แล้วจะต้มยังไง? เพราะฉะนั้นผมขอแนะนำวิธีต้มยาจีนดังต่อไปนี้:
1.ภาชนะที่ใช้ต้ม
การต้มยาจีนควรจะใช้หม้อแบบ เซรามิค หม้อดิน ไม่ควรใช้หม้อแบบเหล็ก
2.ไฟที่ใช้ต้ม
ในการต้มจะใช้ไฟสองแบบ คือ 文火ไฟอ่อน และ 武火ไฟแรง  ไฟอ่อนแปลว่าไฟที่ค่อยๆร้อน ให้อุณภูมิค่อยๆร้อนขึ้นไป ค่อยๆทำให้นํ้าเดือด ส่วนไฟแรงก็คือไฟที่เปิดให้แรงเพื่อที่จะให้นํ้าเดือดอย่างเร็ว 
3.วิธีต้มยาจีน 
ยาจีนหนึ่งห่อ ปกติต้มได้ 2-3 รอบ ถ้ามีเวลาต้มก็ต้ม 3 รอบได้ แต่ควรจะต้มอย่างน้อย 2 รอบ บางคนอาจจะกลัวว่ายาสมุนไพรสกปรก ถ้ากลัวก็นําไปล้างแบบผ่านนํ้าได้ แต่จริงๆแล้วมันก็สะอาดมาจากโรงงานอยู่แล้ว เริ่มแรกให้เรานํายาสมุนไพรมาแช่นํ้าในหม้อก่อน แช่ประมาน 30 นาที ปริมาณนํ้าประมาณที่ใช้แช่คือให้ท่วมยามา 1-2 เซนติเมตร พวกยาที่ลอยบนนํ้าไม่นับนะคับ ใช้มือกดดูว่าประมาณไหนได้ หลังจากแช่ครึ่งชั่วโมงเสร็จแล้วก็ต้มได้เลยคับ ต้มด้วยนํ้าที่ใช้แช่แหละคับ ไม่ต้องเททิ้ง ให้เปิดไฟแรงต้มให้นํ้าเดือดเลยคับ พอนํ้าเดือดแล้วให้ปรับเป็นไฟอ่อนค่อยๆต้ม ให้เดือดเล็กน้อย ต้มประมาน 30 นาทีคับ เสร็จแล้วเราก็จะได้นํ้ายาจีนมา 1 ชาม หลังจากนั้นให้ต้มครั้งที่ 2 เลย ต้มคราวนี้ไม่ต้องแช่นํ้าแล้วคับ เติมนํ้าแล้วต้มได้เลย เหมือนเดิม ตามวิธีด้านบน ต้มครั้งที่สองเสร็จก็จะได้นํ้ายาจีนชามที่ 2 นํายาจีนทั้งสองชามมาผสมรวมเป็นชามเดียว แล้วแบ่งทานสองรอบครับ ระหว่างต้มควรจะนําฝาปิดหม้อไว้ตลอดนะคับ เผื่อไม่ให้สารระเหยออกไป
4.ทานยาเวลาไหน
ควรจะทานหลังอาหาร 1 ชั่วโมงเช้าและเย็น เวลาทานแนะนำว่าให้ทานแบบอุ่นคับ เมืองไทยเป็นเมืองร้อน ยาที่ต้มเสร็จแล้วควรจะนําเก็บเข้าตู้เย็น ก่อนทานค่อยเอามาอุ่นก่อนก็ได้คับ

คนส่วนมากจะคิดว่ายาจีนมีรสขม ทานยาก แต่จริงๆแล้วไม่เกี่ยวหรอกคับ สมุนไพรจีนที่รสขมส่วนมากจะใช้ขับร้อน แก้พิษ สมุนไพรจีนอื่นๆยังมีรส เปรี้ยว หวาน มันขึ้นอยู่กับว่าร่างกายของคุณควรจะได้ยาแบบไหน แต่ละคนก็จะได้ยาจีนที่รสชาติไม่เหมือนกันไป ยาจีนไม่ได้ทานยากอย่างที่คิดคับ แค่หลับตา สูดหายใจลึกๆ กลั๊นหายใจ ยกกระดกอึ๊กๆ ตามด้วยนํ้าเปล่าครึ่งแก้วล้างคอ คุ้นๆกับการดื่มอย่างอื่นมั้ยคับ? 555+
   

TCM แปลว่าอะไร?

สวัสดีคับ นี้เป็นบล็อคแรกที่ผมคิดจะทำไว้ มีจุดประสงค์เพื่อให้คนทั่วไปได้รู้จักความรู้เกี่ยวกับด้าน แพทย์แผนจีนมากขึ้น วิธีการดูแลร่างกายด้วยมุมมองแพทย์จีนให้แข็งแรง ต่างๆนาๆ TCM(Traditional Chinese Medicine) ก็คือ แพทย์แผนจีนในภาษาอังกฤษ ขณะนี้ค่อนข้างมาแรงในเรื่องของแพทย์ทางเลือก แล้วแพทย์แขนงนี้มาจากไหน? แน่นอนคับ มาจากเมืองจีนคับ มีประวัติเป็นมาประมาณ 2000กว่าปี สืบทอดลงมาเรื่อยๆ โดยมีการใช้ทฤษดีแพทย์แผนจีน รักษาโรคต่างๆด้วยวิธีหลักๆคือ ยาจีน ฝังเข็ม การนวดทุยนา การครอบแก้ว เป็นที่นิยมของชาวจีนมาแต่ไหนแต่ไร เหมาะกับพวกคนฝูงไหน? จริงๆก็เหมาะกับคนทุกรุ่นทุกวัยแหละคับ ที่เมืองจีนนี้ มีตั้งแต่เด็กเล็ก 5-6ขวบยันคนอายุ 80-90 มาทานยาจีนอยู่เลย ข้อดีของแพทย์แผนจีนดีตรงไหน? โดยปัจจุบันผู้คนส่วนมากหากไม่สบายก็จะไปหาแพทย์แผนปัจจุบันก่อน พอรักษาไม่หายแล้วค่อยมาหาหมอจีนกันต่อ ข้อดีคือบางทีแพทย์แผนจีนก็จะช่วยรักษาให้หายได้ อาจจะรักษาควบคู่ไปสองวิธี เช่น เป็นมะเร็งแล้วทำ chemo อยู่ สามารถทานยาจีนเพื่อลดอาการอาเจียน คลื่นไส้ ไม่อยากอาหารได้ หรือเป็นโรคความดันสูง ยาแผนปัจจุบันต้องทานยาลดความดันหลายแบบแต่ก็ยังควบคุมได้ไม่ดี ยาจีนก็สามารถจะมาช่วยลดความดันได้ และลดอาการเวียนศรีษะ ปวดศรีษะ หรือหน้ามืดอีกด้วย ยาสมุนไพรจีน“ส่วนมาก”ที่ใช้ปรกติก็ไม่มี side effect ต่อตับและไตหากใช้ในจำนวนและต้มในวิธีที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเป็นแพทย์ทางเลือกที่ค่อนข้างปลอดภัย